พระนางมารีย์ ตรัสว่า
“วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์
ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นสุข
พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า
พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์
พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย
พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ
ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป
ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น
พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก
ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า
พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผู้รับใช้พระองค์
โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา
แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป”
1
พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้ประกาศข้อความเชื่อว่า“พระนางมารีย์ มารดาพระเจ้าผู้ปฏิสนธินิรมลและเป็นพรหมจารีเสมอ ได้รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ หลังจากบรรลุถึงความสมบูรณ์ของชีวิตในโลกนี้” เมื่อ 1 พฤศจิกายน 1950 นับเป็นความเชื่อเก่าแก่ที่สุดในพระศาสนจักร ที่บรรดาคริสตชนแสดงออกต่อพระนางมารีย์มาเป็นเวลากว่าพันปี อีกทั้ง เป็นการยืนยันว่า พระนางได้รับเกียรติรุ่งโรจน์และร่วมส่วนชีวิตนิรันดรกับพระเยซูเจ้า บุตรของพระนาง
การรับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ของพระนางมารีย์ เป็นการมีส่วนในผลแรกแห่งการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า ในฐานะที่พระนางเป็น “มารดาพระเจ้า” (Theotokos) และมีส่วนในงานไถ่กู้ของพระผู้ไถ่ตั้งแต่เริ่มแรก ในบทบาทของคนกลางแจกจ่ายพระหรรษทานและความหวังของมนุษยชาติ นักบุญอัลฟองโซ มารีย์ เด ริกวอรี ยืนยันว่า พระเยซูเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ร่างกายของพระนางต้องเน่าเปื่อยหลังความตาย นอกนั้น การรับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ของพระนางมารีย์ ถือเป็นการให้เกียรติและยกย่องผู้หญิง เพราะพระเจ้าได้ประทานพระหรรษทานแก่พระนาง ให้บรรลุความศักดิ์สิทธิ์และเกียรติสูงส่ง อีกทั้ง เป็นการยกย่องคนยากจนและคนถูกกดขี่ที่กล่าวถึงในบทเพลงสรรเสริญ (Magnificat) ให้ปรากฏเป็นจริง พระเจ้าทรงให้ความสำคัญกับคนยากจน คนเล็กน้อย และคนสิ้นหวังเป็นลำดับแรกเสมอ การประทับอยู่ของพระองค์ในโลกปรากฏชัดในบุคคลเหล่านี้
2
บทมักนีฟีกัส … บทสรรเสริญของแม่พระ (ที่เราได้รับฟังจากพระวรสาร) ที่จริงเราคุ้นชินกับบทภาวนานี้ ไม่เพียงแต่อ่านประจำทุกปีในช่วงวันสมโภชแม่พระฯ แต่ยังใช้สวดทำวัตรในเวลาเย็นของนักบวช ในงานสำคัญ ๆ ของการเป็นนักบวช บทภาวนานี้ก็ถูกนำมาใช้เสมอ ๆ แม้กระทั่งพลมารี (องค์การคาทอลิกในระดับวัด) ใช้บทเพลงนี้ด้วย
ผมตั้งคำถามเสมอ
ทำไมบทเพลงสรรเสริญของแม่พระ ถึงมีความสำคัญ
แม่พระต้องการบอกอะไรกับเรา
สำหรับผมแล้ว “อย่าลืมคนยากจน” เป็นคำที่ดังก้องในใจเสมอ
แม่พระกล่าวถึงความถ่อมตน … คนที่มักใหญ่ใฝ่สูงจะกระจายไป … คว่ำผู้ทรงอำนาจออกจากบัลลังก์
และที่แม่พระกล่าวถึง และให้ความสำคัญมากในการ “ยกย่องคนใจสุภาพถ่อมตน”
มากกว่านั้นทั้งหมดแม่พระ “รัก เชื่อ หวัง วางใจในพระเจ้า” ผู้ทรงมีพระประสงค์ ให้แม่พระร่วมในแผนการณ์ความรอดที่มีต่อประชากรของพระองค์
3
อย่าลืมคนยากจน … คือสิ่งที่ผมค้นพบในบทสรรเสริญของแม่พระ เพราะคนยากจนอยู่กับเราเสมอ และคนยากจนคือทรัพย์สมบัติของพระศาสนจักร … แม่พระ ต้องการบอกกับเราว่า “ชีวิตของเราต้องไม่ลืมที่จะแสดงความรักเมตตาต่อคนอื่น” เราต้องรักคนอื่น … ต้องแสดงออกเป็นกิจการเพื่อรักคนอื่น โดยเฉพาะคนยากจน หรือผู้ที่ต้องความช่วยเหลือ … บางคนที่ร่ำรวย เขาก็อาจจะยากจน … เขายากจนมิตรภาพ เขายากจนขาดแคลนเพื่อนที่จริงใจกับเขา เขายากจนกระทั่งขาดคนที่รักเขาอย่างจริงจัง รักอย่างจริงใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกวันนี้คนที่อยู่รอบตัวเขานั้นจริงใจกับเขามากแค่ไหน หรือหวังเพียงผลประโยชน์ที่จะได้รับ หมดประโยชน์ ก็หมดคุณค่า ถีบหัวส่ง ทอดทิ้งอย่างไร้เยื้อใย ….
เรารักเขาได้ แม้เขาไม่อยากให้เรารัก หรือไปยุ่งกับชีวิตของเขา … การมองห่าง ๆ และชื่นชมในความสำเร็จที่เขาได้มา หรือสร้างมาอย่างยุติธรรม ไม่ได้เอาเปรียบ หรือโกงใครมา และการไม่ไปเพิ่มคนที่ไร้ความจริงใจกับเขา นี่เป็นความรักที่สวยงาม …
ถ้าหากจะรักคนที่เขาไม่ยินดียินร้ายกับตัวของเรา การอยู่ห่าง ไม่ยุ่งย่าม หรือทำให้ลำบากใจ ก็อาจเป็นการแสดงความรักได้
เพราะสุดท้ายแล้ว เราเองที่ตอบคำถามได้เสมอว่า “การกระทำที่เราแสดงออกต่อเขา ล้วนมาจากความจริงใจ” นี่เป็นความรักจริง ๆ ส่วนตัวเขาจะเก็บมุมไหนในพฤติกรรมของเราไปคิด คนที่เจ็บปวดเองก็เป็นเขา ส่วนเราถ้าทำทุกอย่างด้วยความจริงใจ ไม่แสแสร้ง ก็ขอให้มั่นใจได้เลยว่า “นั่นคือความรัก ต่อคนที่ต้องการความรักมากที่สุด”
อย่าลืมคนยากจน … เรามีวิธีช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องที่ต้องการความช่วยเหลือได้ในหลายวิธี องค์กรคาทอลิก ส่วนใหญ่จะเป็นองค์กรที่เน้นกิจเมตตา งานสงเคราะห์ ที่เน้นผู้ยากไร้ ผู้เจ็บป่วย ผู้ที่ขาดกำลังใจ … เพียงติดต่อผ่านทางพระสงฆ์ หรือองค์กรคาทอลิก ก็สามารถช่วยด้วยกิจการที่แท้จริง
4
เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์
“ไม่กลัว” ว่าใครจะมองไม่เห็น ต่อให้คนในโลกนี้มองไม่เห็น แต่จงเชื่อแบบที่แม่พระเชื่อ ว่าพระเจ้าทรงมองเห็นเรา … เราอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์เสมอ
เราอาจไม่มีค่าในสายตาของคนอื่น … คนอื่นอาจหลงลืม ทอดทิ้ง ไม่ให้ “คุณค่า” เรา
อย่าลืมว่า “คุณค่า และศักดิ์ศรี” คือสิ่งที่พระเจ้าให้เราเสมอ พระเจ้าสร้างเราให้มีคุณค่าและศักดิ์ศรี เป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้า … แม่พระ ให้กำลังใจคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิต ที่เราคิดว่าใครต่อใครต้องมาใส่ใจ หรือให้ความสำคัญกับเรา …
เราเองก็เช่นกัน “อย่าลืม” ให้คุณค่า และศักดิ์ศรี กับคนอื่น … มองเห็นคนที่ยากลำบาก มองเห็นเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข มองเห็นคนยากจน ในสายตาของเราบ้าง
บางทีการที่คนอื่นเขาไม่ให้คุณค่ากับเรา ก็เพราะเราไม่เคยเห็นเขาในสายตาเลย
5
ข้าพเจ้าเป็นสุข
“สุข” ที่เที่ยงแท้ ที่แม่พระยืนยันเสมอ
คือคนที่ทำตามพระประสงค์
“เชื่อ หวัง รัก” “ไว้วางใจ” ในพระเจ้า เป็นสุข …
“สุข” ที่แม่พระ พูดถึง ไม่ใช่สุขบนความทุกข์ยากของคนอื่น หรือสุขที่เหยียบคนอื่นขึ้นมาให้ตัวเองดูดี สูงขึ้น หรือสุขที่ยอม “ขาย” มิตรภาพของเพื่อน
“สุข” ของแม่พระ คือสันติสุข เพราะในท่ามกลางปัญหาอุปสรรค ความไม่เข้าใจ ความไม่สมหวัง การถูกปฏิเสธ และยิ่งในชีวิตของแม่พระ แม่พระมีแต่ความไม่เข้าใจ ในแผนการณ์ที่พระเจ้าได้ให้ …. แต่ก็ยังเป็นสุข ยังมีสันติสุข เพราะแม่พระ เชื่อ หวัง รัก ไว้วางใจในพระเจ้า … ชีวิตจึงมี “สุข” ที่เป็นสันติสุขที่แท้จริง
แม่พระจึงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์
“คนที่ศักดิ์สิทธิ์ ดูง่ายนิดเดียว เขาอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็มีแต่สันติสุข”
6
เพราะ …. (พระเจ้าจะ)
ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป
ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น
พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก
ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า
ปล.
อย่าลืมคนยากจน อย่าลืมเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ อย่าลืมที่จะสุภาพถ่อมตนเสมอ