พระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช

4 นาที

พระสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช  เกิด 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1949   มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน เป็นชาย 2 คน เป็นหญิง 2 คน  ท่านเป็นบุตรคนที่ 2  บิดาชื่อนาย ยอแซฟ ปิติ   มารดาชื่อนาง เทเรซา พัชรินทร์  โกวิทวาณิช   เกิดที่ 279/4  ซอยพุทธโอสถ บางรัก กรุงเทพฯ รับศีลล้างบาป วันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ.1949 เลขทะเบียน 848 ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ

ชีวิตในวัยเด็ก

        ท่านเกิดในครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคาทอลิก คุณแม่เป็นคาทอลิกดั้งเดิม ส่วนคุณพ่อเคยมีครอบครัวมาก่อน และกลับใจมาเป็นคาทอลิกตอนแต่งงานกับแม่โดยอภิสิทธิ์นักบุญเปาโล    เวลานั้นคุณพ่อของท่านเป็นพ่อค้า ร้านชื่อ สีลมสโตร์ อยู่ที่ถนนสีลม และ   คุณแม่เป็นแม่บ้าน ครอบครัวมีฐานะปานกลาง ชีวิตครอบครัวที่เรียบง่าย และอบอุ่น ท่านรับศีลล้างบาปตั้งแต่ยังเล็กๆที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ และเป็นลูกวัด อาสนวิหารอัสสัมชัญ 

การศึกษา

        ท่านเรียนที่โรงเรียนอนุบาลปวโรฬาร กรุงเทพฯ พอจะมาเรียนต่อในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก ก็ปรากฏว่าเวลานั้นโรงเรียนอัสสัมชัญไม่มีที่จะรับ บราเดอร์อธิการโดนาเซียง จึงบอกให้ไปเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญศึกษาก่อน ซึ่งในสมัยนั้นรับนักเรียนชายชั้นประถมต้นด้วย  เรียนที่อัสสัมชัญศึกษา 2 ปี แล้วจึงมาเข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก ถูกจับให้ย้อนไปเรียนชั้นมูลอยู่ 4 วัน จากนั้นก็ได้เลื่อนไปเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พอจบชั้นป.1 ก็ได้เลื่อนชั้นไปเป็นเรียนต่อชั้น ป.3  ได้เลย ท่านเรียนอยู่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก จนจบชั้นม.ศ.3  ท่านเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ทางโรงเรียนจัดในเวลานั้น เช่น ดูหนังทุกค่ำวันพุธ เรียนคำสอน รับศีลอภัยบาป ร่วมมิสซาที่โรงเรียนจัดให้เดือนละครั้ง  เป็นพลศีลกับบราเดอร์วีระ  เรียนขับร้องกับบราเดอร์บัญญัติทุกวันอาทิตย์ มาร่วมมิสซานักเรียนรอบเจ็ดโมงครึ่ง  มีเช็คชื่อทุกครั้ง เข้าร่วมกลุ่มนักขับร้องของโรงเรียนกับบราเดอร์พอล  ร่วมแปรอักษรเชียร์ฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี เป็นพลมารี และเนื่องจากชอบวาดเขียน  ท่านจึงได้รับหน้าที่วาดภาพติดบอร์ด ทั้งบอร์ดของชั้นเรียนและบอร์ดของกลุ่มพลมารี 

กระแสเรียก

เวลานั้นท่านยังเล็กๆ คุณแม่พาไปพบคุณพ่อเปรูดอง เจ้าอาวาสอาสนวิหารอัสสัมชัญ เนื่องจากไปติดต่อเรื่องบ้านเช่าหลังวัดให้ “ยายมะ” คุณแม่พาท่านไปด้วย คุณพ่อเปรูดองเห็นว่ามีเด็กมาด้วย ก็เลยเอาขนมให้กิน ทำให้ท่านรู้สึกประทับใจความใจดีของคุณพ่อเจ้าอาวาส เมื่อท่านโตขึ้นบ้างแล้ว วันหนึ่งคุณแม่ไปพบคุณพ่อวิลเลียม ตัน ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสในสมัยของคุณพ่อเปรูดอง แม่ก็พาท่านไปด้วย เมื่อคุณพ่อพบท่านก็บอกกับท่านว่า “เอ็งต้องไปเป็นเณร” ซึ่งในเวลานั้นท่านเองก็ยังไม่เข้าใจว่า “เณร” คืออะไร แต่วันนั้นก็ทำให้ท่านมีความคิดเรื่องของเณรเข้ามาในหัว 

พ่อทองดีในความใจดีของท่าน และประทับใจในความเป็นธรรมทูตที่ ร้อนรนกระตือรือร้นของ คุณพ่อวังกาแวร์ (ซึ่งต่อมาภายหลังเป็นพระสังฆราชวังกาแวร์)  เมื่อคุณพ่อวิลเลียม ตัน  เป็นเจ้าอาวาสองค์ต่อมา ซึ่งแม้ว่าคุณพ่อจะเป็นคนดุ และเสียงดัง แต่ท่านก็ประทับใจในความสง่างาม  เข้มแข็ง  เดินเร็วมาก  และขับร้องเพลงในวัดไพเราะ 

ทั้งหมดนี้เองกลับกลายเป็นสิ่งหล่อหลอมท่านและเป็นแรงจูงใจในกระแสเรียกของท่าน วันหนึ่งท่านจึงเดินไปหาคุณพ่อทองดี และบอกว่า “ผมอยากเป็นเณร” คุณพ่อก็ยิ้มๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วคุณพ่อย้ายไปเป็นจิตตาธิการอารามคลองเตย จากนั้นท่านได้มีโอกาสเรียนคำสอนกับคุณพ่อศวง ศุระศรางค์   ท่านก็ประทับใจในการสอนคำสอนของคุณพ่อ ศวง จึงตัดสินใจไปสมัครเข้าบ้านเณรอีก คุณพ่อบอกว่า  “บ้านเณร (ศรีราชา) เต็ม ไม่มีที่” ก็เลยยังไม่ได้เข้าอีก 

ต่อมาพอสมัยของคุณพ่อคมทวน เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ซึ่งเวลานั้นท่านจบม.ศ.3 แล้ว และกำลังตัดสินใจเลือกระหว่างเข้าบ้านเณร หรือเรียนต่อศิลปากร คุณพ่อคมทวนบอกว่า “ให้จบม.ศ.5 ก่อนแล้วค่อยเข้าบ้านเณร” แต่ท่านบอกกับคุณพ่อว่า “ถ้าจบม.ศ.5 ผมไม่เข้าบ้านเณรแล้ว ผมจะเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากร” สรุปแล้วก็เลยได้เข้าบ้านเณรในเวลานั้น

ท่านเข้าสามเณราลัยนักบุญยอแซฟ ในช่วงปีที่ 2  ที่เปิดสามเณราลัย ตอนนั้นคุณพ่อฮั้วเซี้ยง (พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู) เป็นอธิการ เวลานั้นพวกเณรที่จบชั้น ม.ศ.3 แล้ว เขาจะเรียกกันว่า “มาสเตอร์” พวกมาสเตอร์จะเรียนภาษาลาติน ภาษาอังกฤษ ปรัชญาพื้นฐาน คำสอนสังคายนาวาติกันที่ 2  และวิชาอื่นๆอีกบางวิชา ภาคบ่ายก็ไปสอนเรียนที่โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์ ท่านใช้เวลาว่างในการเรียนหนังสือด้วยตัวเองและไปสอบเทียบกับรัฐบาลในวิชาครู พ.กศ. พม. หรือ ม.ศ.5 ซึ่งท่านก็สามารถสอบผ่านได้เพราะคุณพ่ออธิการประกาศว่า “ถ้าใครสอบไม่ผ่านไม่ให้ไปบ้านเณรใหญ่”

เมื่อจบ 4 ปีที่บ้านเณรเล็กแล้ว ท่านถูกส่งไปเรียนต่อที่สามเณราลัยใหญ่ ปรอปากันดา ฟีเด กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ.1970 ท่านเริ่มต้นด้วยการเรียนภาษาอิตาเลียนก่อนเป็นเวลา 1 เดือน จนจบหลักสูตรไวยกรณ์ภาษาอิตาเลียน จากนั้นก็สมัครเรียนวิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัย ช่วงเวลาหนึ่งปีแรก เป็นช่วงเวลาที่ท่านพยายามทุ่มเทให้กับการศึกษาเล่าเรียนเต็มที่ พอขึ้นปีที่ 2 ท่านได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้น และมีบทบาทในการดูแลความเป็นไปของบ้านเณร ทำให้ท่านได้เห็นปัญหาต่างๆมากมายที่เกิดขึ้น ท่านพยายามหาแนวทางการแก้ปัญหาเหล่านั้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากมาย ท่านจึงตัดสินใจลาออกจากหน้าที่รับผิดชอบทุกอย่างในบ้านเณร และพยายามทำหน้าที่ส่วนของตนเองอย่างดีที่สุดเพียงเพื่อที่จะก้าวหน้าไปในชีวิตกระแสเรียก แต่กลายเป็นว่ายิ่งวัน ท่านยิ่งไม่มั่นใจกับวิถีทางที่ท่านกำลังก้าวเดินมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ได้ตัดสินใจว่าเมื่อกลับเมืองไทยแล้ว จะไม่บวชเป็นพระสงฆ์

ประสบการณ์กระแสเรียกจากกลุ่มโฟโคราเล

เวลานั้นเองเป็นช่วงเวลาปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 1975  มีการจัดกิจกรรมในที่ต่างๆมากมาย ท่านพบว่าเพื่อนคนหนึ่งของท่าน ทำให้ท่านรู้สึกประทับใจในชีวิตของเขาเป็นพิเศษ เนื่องจาก เขาเป็นคนเรียนเก่ง มีความกระตือรือร้น ร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส เอื้ออาทร จริงใจและมีความสุข ซึ่งแตกต่างจากตัวท่านที่มีแต่ความวุ่นวายใจ และไม่มีความสุข ท่านจึงพยายามแสวงหาว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังชีวิตของเพื่อนคนนั้น เพื่อนคนนั้นแนะนำให้รู้จักคณะโฟโคลาเร ท่านจึงสนใจและขออนุญาตพระอัครสังฆราช มีชัย กิจบุญชู เพื่อไปศึกษาจิตตารมณ์กลุ่มโฟโคราเล เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งประกอบไปด้วยเพื่อนพระสงฆ์ กว่า 70 องค์ และสามเณรกว่า 20 คน จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก 

ณ ที่นั่น ท่านได้สัมผัสกับพระเจ้าองค์ความรัก และได้ตอบรับความรักของพระองค์ จากนั้นจึงมาเข้าใจว่า เราจะพบกระแสเรียกแท้ในชีวิตสงฆ์ได้อย่างไร หากเรายังไม่พบพระเจ้า “ผู้เรียก” และเมื่อตอบรับความรักของพระองค์แล้ว ท่านได้กลับมาทบทวนชีวิตของท่านใหม่ ความคิดที่ว่า “บวชไม่ได้” ไม่มีอีกแล้ว ท่านจึงตอบรับกระแสเรียกชีวิตพระสงฆ์ ท่านเดินทางกลับมาประเทศไทย และได้รับศีลบรรพชาจากพระอัครสังฆราช ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู (ในขณะนั้น) ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1976  

หน้าที่การทำงาน

  • ปี ค.ศ. 1976                 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมารีย์สมภพ บ้านแพนปี
  • ค.ศ. 1976 -1979        ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระคริสตประจักษ์ เกาะใหญ่ 
  • ปี ค.ศ. 1979 -1981       ผู้ช่วยอธิการสามเณราลัยนักบุยยอแซฟ สามพราน
  • ปี ค.ศ. 1981                รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดนักบุญเทเรซา หน้าโคก (3 เดือน) 
  • ปี ค.ศ. 1982 -1983       ศึกษาต่อที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี
  • ปี ค.ศ. 1983 – 1989      อธิการบ้านเณรกลางพระวิสุทธิวงศ์ โคราช
  • ปี ค.ศ. 1989 – 1993      รองเลขาธิการสภาพระสังฆราช
  • ปี ค.ศ. 1989 – 1992      ช่วยงานอภิบาลอาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก
  • ปี ค.ศ. 1992 – 2000      อธิการสามเณราลัยแสงธรรม สามพราน
  • ปี ค.ศ. 2000 – 2003      เจ้าอาวาสวัดแม่พระประจักษ์เมืองลูร์ด หัวตะเข้ 
  • ปี ค.ศ. 2003 – 2007      เจ้าอาวาสอาสนวิหารอัสสัมชัญ

เมื่อรับศีลบรรพชาแล้ว ท่านได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดพระคริสตประจักษ์ (เกาะใหญ่) และวัดมารีย์สมภพ (บ้านแพน) อยู่กับคุณพ่อสมศักดิ์ ธิราศักดิ์ เจ้าอาวาส ท่านได้เรียนรู้จากคุณพ่อสมศักดิ์หลายอย่าง 

ในขณะเดียวกัน ไม่กี่เดือนต่อมา ท่านก็ได้รับเลือกเป็นกรรมการสภาสงฆ์ฯ ซึ่งในสมัยนั้น สภาสงฆ์ทำหน้าที่เป็นทั้งที่ปรึกษาพระสังฆราชและมีส่วนร่วมเป็นกรรมการบริหารกลายๆ ด้วย ดังนั้นท่านจึงทราบว่าอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯต้องส่งพระสงฆ์ไปช่วยที่มิสซังนครสวรรค์ เวลานั้นพระอัครสังฆราชถามความสมัครใจว่าใครอยากไปช่วยที่สังฆมณฑลนครสวรรค์ก็จะให้ไป มีคุณพ่อคนหนึ่งขอสมัครไป แต่พระอัครสังฆราชไม่อยากให้ไป ท่านจึงสมัครใจจะไปสังฆมณฑลนครสวรรค์แทน แต่พระอัครสังฆราชบอกท่านว่า “คุณพ่อต้องไปอยู่บ้านเณร”

ที่สามเณราลัยนักบุญยอแซฟ เวลานั้น คุณพ่อประวิทย์ พงษ์วิรัชไชย ทำหน้าที่เป็นอธิการ ท่านเองจึงมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยอธิการ ทำหน้าที่สอนและอบรมเณร เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นพระสังฆราชเอก ทับปิง ซึ่งรับผิดชอบด้านการอบรมเณรของสภาพระสังฆราชฯ ก็ต้องการตัวท่านให้ไปเป็นอธิการบ้านเณรกลาง ต่อจากคุณพ่อสุรินทร์ ประสมผล (อีก 3 ปีหน้า) ท่านรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อม จึงขออนุญาตไปเรียนต่อด้านชีวิตจิต  แต่ในเวลาเดียวกันก็มาคิดว่าจะต้องไม่ใช่เพียงแค่การเรียนด้านวิชาการเท่านั้น จำเป็นจะต้องจัดให้เป็นการเรียนรู้ที่ลงสู่ชีวิตจริงด้วย จึงขออนุญาตผู้ใหญ่ไปใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนพระสงฆ์ในกลุ่มโฟโคราเล และศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกรโกเรียน 

เมื่อเรียนจบแล้ว ก็เดินทางกลับประเทศไทย คุณพ่อพิบูลย์ วิสิฐนนทชัย เป็นคนพาไปส่งที่บ้านเณรกลาง โคราช ท่านนำสิ่งที่ท่านได้ในประสบการณ์ชีวิตมาใช้เป็นแนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้   และอบรมในบ้านเณรกลางโดยมีคุณค่าพระวรสารเป็นเนื้อหาสาระสำคัญ ท่านใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเณรกลางเป็นเวลา 6 ปี (2วาระ)

เมื่อหมดวาระที่บ้านเณรกลางแล้วสภาพระสังฆราชฯ ก็มอบหมายหน้าที่ให้ท่านเป็นรองเลขาธิการฯ สภาพระสังฆราชฯ เป็นเวลา 2 ปี ทำให้ท่านได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างและระบบงานของพระศาสนจักร ในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นประสบการณ์ที่เสริมสร้างชีวิตของท่านได้เป็นอย่างมาก

จากนั้นสภาพระสังฆราชฯ มีความเห็นที่จะปรับปรุงระบบการอบรมใหม่ จึงมีมติแต่งตั้งท่านเป็นอธิการสามเณราลัยแสงธรรม สามพราน ท่านจึงขอผู้ใหญ่เพื่อไปเข้ารับการอบรมงานด้านการอบรมผู้เตรียมตัวเป็นพระสงฆ์ เป็นเวลา 1 ปี ที่มหาวิทยาลัยอุ๊ปส์ (Universita Pontificia Salesiana) ของคณะซาเลเซียนที่กรุงโรม ทำให้เห็นภาพรวมของงานอบรมชัดเจนมากขึ้น 

ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคณะผู้ให้การอบรม บ้านเณรแสงธรรมจึงได้รับการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงแนวทางและรูปแบบการอบรมหลายอย่าง ท่านอยู่ที่สามเณราลัยแสงธรรมเป็นเวลา 8 ปี (2วาระ) 

เมื่อหมดวาระการทำงานให้กับพระศาสนจักรระดับประเทศแล้ว ท่านก็กลับมาทำงานในอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯต่อไป ด้วยการรับหน้าที่เจ้าอาวาสวัดแม่พระประจักษ์ที่เมืองลูร์ด หัวตะเข้ เป็นเวลา 3 ปี ท่านก็ได้รับมอบหมายหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสอาสนวิหารอัสสัมชัญ

หลังจากนั้นภารกิจที่สำคัญยิ่งก็มาสู่ท่าน เมื่อมีสารจากกรุงโรม ประกาศแต่งตั้งท่าน เป็นพระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลนครสวรรค์  โดย สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2007

พิธีอภิเษกเป็นพระสังฆราชนครสวรรค์

พิธีอภิเษกในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ.2007   ณ สนามกีฬาประจำจังหวัดนครสวรรค์ โดยมี  พระคาร์ดินัล   ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู  เป็นประธานในพิธีและเป็นผู้อภิเษก ร่วมกับ พระอัครสังฆราชซัลวาตอเร เปนนักคีโอ เอกอัครสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย และพระสังฆราชยอแซฟ  บรรจง  อารีพรรค

ความหมายของตราประจำตำแหน่ง

 ความหมายของตรา (Coat of Arms)

กางเขนรูปดาว หมายถึง พระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงกางเขนและถูกทอดทิ้ง องค์ความรักของพระเจ้า
ดวงอาทิตย์ หมายถึง พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนม์ชีพผู้ประทับท่ามกลางเรา

พื้นสีฟ้า หมายถึง พระแม่มารี สิ่งสร้าง ผู้เป็นฉากหลังรองรับองค์พระวจนาตถ์ ผู้ตรัสพระวาจาบนความว่างเปล่าของพระนาง

รัศมี หมายถึง อานุภาพแห่งความรักของพระเจ้า

ดาวสิบสามดวง หมายถึง สิบสามจังหวัดในเขตสังฆมณฑลนครสวรรค์ ได้แก่ นครสวรรค์ กำแพงเพชร ชัยนาถ ตาก พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ลพบุรี สังห์บุรี สระบุรี สุโขทัย อุทัยธานี อุตรดิตถ์

อักษรแต่ละตัวทำให้เราได้รู้จัก “พระสังฆราชองค์ใหม่” ของเรามากขึ้น ซึ่งเป็นเสมือนภูเขาน้ำแข็งที่เพียงโผล่พ้นน้ำให้เราเห็น แต่เบื้องหลังอักษรเหล่านี้ ยังมีเรื่องราว ความหมายอีกมากมายที่น่าสนใจ และเป็นบทเรียนชีวิตของเราแต่ละคน และชีวิตของแต่ละคนก็คงจะเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งเหมือนกัน  ต่างกันตรงที่ขนาด และรูปร่างภายนอกเท่านั้น

คติพจน์

 “Verbum  Crucis  Dei  Virtus  Est”

“คำสอนเรื่องกางเขน เป็นอานุภาพของพระเจ้า” (1คร1:18) มาจากคำสอนของนักบุญเปาโลที่เตือน คริสตชนเมืองโครินทร์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะสำหรับคริสตชน กางเขนคือกุญแจสู่ความเป็นหนึ่งเดียวและเป็นวิธีถ่ายทอดวัฒนธรรมแห่งความรักสู่สังคม เมื่อความทุกข์ในชีวิตที่เราน้อมรับถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นความรักต่อพระเจ้าในพี่น้องเพื่อนมนุษย์ จะทำให้ชีวิตเรากลับกลายเป็นความรักชนิดที่โลกแสวงหาเหลือเกิน แต่ไม่เคยพบ และทำให้ทุกคนที่สัมผัสความรักของพระองค์จากชีวิตเราเชื่อในพระเจ้าองค์ความรัก

Related Post

เรื่องล่าสุด